การสร้างโรงงานใหม่ได้มีการวางศิลาฤกษ์ ณ วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1935 ซึ่งในเวลาต่อมา มีคนงานไม่น้อยกว่า 3500 คน แต่ทางบริษัทมีระบบการจัดระเบียบและได้อย่างมีประสิทธิภาพถือว่าดีที่สุดในโบโลญญ่า ในขณะนั้น ความมีคุณภาพของดูคาติในความเป็นจริง ไม่ได้มีเพียงคุณภาพที่ดีของผลิต ภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังให้คุณภาพและสวัสดิการที่ดีไปถึงพนักงานด้วย ข้อดีทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง ภายในโรงงานแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งสำหรับพนักงานและอีกส่วนสำหรับคนงาน นอกจากนี้ภายในบริเวณโรงงานยังมีการให้บริการ ห้องสำหรับการอ่านหนังสือสองห้อง และมีโรงเรียนอาชีวศึกษา มีสนามเทนนิสและสนามวอลเลย์บอล มันเป็นเสมือนเมืองเล็กๆ จริงๆ เลย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโรงงานดูคาติถูกบังคับให้ทำการผลิตเพื่อกองทัพแทนที่การผลิตเพื่อพลเมือง เช่นเดียวกันกับบริษัทอื่น ๆ ในอิตาลี หลังจากสงครามวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1943 โรงงานถูกครอบครองโดยกองทัพเยอรมันและถูกวางระเบิดทำลายในภายหลัง ณ วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1944
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ผ่านพ้นไปแล้ว มีบริษัทเล็กๆ ชื่อว่า “SIATA” (Societa Italiana per Applicazioni Tecniche Auto-Aviatorie) มีเจ้าของชื่อ นายอัลโด ฟาริเนลลิ (Aldo Farinelli) ได้พัฒนาระบบเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อติดตั้งในรถจักรยาน หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนเค้าได้ประกาศขายเครื่องยนต์นี้ในปี ค.ศ.1944 ชาวอิตาเลียนเรียกเครื่องยนต์นี้ว่า “คุตโช่ะโล (cucciolo)” จริงๆ แล้วคำนี้แปลว่า สัตว์ที่เพิ่งเกิดใหม่ เช่น ลูกสุนัข ลูกแมว ลูกหนู เป็นต้น และชื่อภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “ลูกสุนัข (puppy)” เครื่องยนต์เล็กนี้ได้รับความสนใจจากบรรดานักธุรกิจทันที รวมทั้งสามพี่น้องดูคาติด้วย พวกเค้าได้มีการรวมมือกับ SIATA พร้อมทั้งฟื้นฟูโรงงานขึ้นมาใหม่บางส่วนในช่วงท้ายปี ค.ศ.1945 เพื่อเปิดการผลิตในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1946 ผลิตภัณฑ์แรกที่เริ่มคือ cucciolo มีเครื่องยนต์ลูกสูบเดี่ยวที่จะนำไปใช้กับจักรยานปกติ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย SIATA ในเมืองโตริโน่ (Torino) ต่อจากนั้นถูกนำไปพัฒนาต่อโดย Caproni กลายเป็นรถจักรยานยนต์แบบแรกของดูคาติ ขายทั่วโลกกว่า 250,000 เครื่อง
ในปี ค.ศ. 1948 ทางครอบครัวดูคาติได้ตัดสินใจขายบริษัทให้อยู่ในการถือครองของรัฐ และตัวอาดริอาโน (Adirano) ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอเมริกา และเข้าร่วมกับ Plamadyne เพื่อคิดค้นและพัฒนาระบบเครื่องยนต์พลาสม่า ให้กับองค์การนาซ่า (NASA)
หลังจากนั้นตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มมีการขยายตัวมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1952 ดูคาติตัดสินใจร่วมมือกับ Cruiser นำเทคโนโลยีทั้งสองบริษัทมารวมกันผลิตรถจักรยานยนต์ ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ Ducati 175 Cruiser ทำการเปิดตัวที่มิลาน ในปีถัดมาได้เปิดตัว รุ่น 98 cc และ 125 cc แต่ผลการตอบรับกลับไม่ดีอย่างที่ควรทำให้สองปีต่อมาจึงยกเลิกการผลิตไปรุ่นนี้ไป
ต่อมาในปี ค.ศ. 1954 บริษัทดูคาติได้แยกออกเป็น 2 บริษัทได้แก่ Ducati Electrical และ Ducati Mechanical ซึ่งบริษัท Ducati Mechanical จะทำหน้าที่พัฒนาระบบยานยนต์ และ Ducati Electrical จะเดินบนสายงานเหมือนตอนต้นที่ครอบครัวดูคาติตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก และในปีเดียวกันนี่เองที่บริษัท Ducati Mechanical ได้เริ่มร่วมงานกับวิศวกรฟาบิโอ่ (Fabio Taglioni) ที่ใครๆ เรียกเค้าว่า “Doctor T” เค้าเป็นอาจารย์สอนวิชาเทคนิค อยู่ที่อิโมล่า (Imola) ซึ่งดูแลการออกแบบตั้งแต่ชิ้นส่วนเล็กๆ ไปจนถึง การออกแบบเครื่องยนต์แบบ twin และยังรับหน้าที่ดูแลการออกแบบของรถจักรยานยนต์ Ducati ต่อมากว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งตัวของฟาบิโอ่เองมีการออกแบบมอเตอร์สำหรับรถแข่งเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเค้าและดูคาติได้ร่วมกันพัฒนาและนำรถที่เค้าพัฒนาขึ้นทดลองลงแข่งใน “Milan-Taranto” และ “Tour of Italy” เค้าได้ออกแบบรถจักรยานยนต์ Gran spot cc. หรือที่เรารู้จักกันในนาม “Marianna” ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
Marianna กลายเป็นแชมป์อย่างต่อเนื่องของการแข่ง Gran Fondo
ระหว่างปี 1955 และ 1957 และได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยนั้น
ในปี 1956 Ducati ได้ผลิตรถรุ่น 100 Sport ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รถรุ่นนี้สามารถทำลายสถิติโลก 46 รายการภายในวันเดียว
ยังไม่พอในปีเดียวกันเครื่องยนต์ desmodromic ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกบนรถDucati : 125 Gran Prix. วิ่งได้ 12,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาวาวล์ลอยตัวที่รอบสูงในเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการแข่งขัน ในตอนนั้น ระหว่างปี 1955-1956 ผู้ที่เป็นนักแข่งให้กับดูคาติ คือ “Gianni Degli Antoni” เค้าเป็นแชมป์มากมายหลายรายการ ในปี 1956 Ducati ได้เปิดตัวรถรุ่น Desmo 125 GP เป็นครั้งแรก
ในภาพถ่ายจะเห็น Fabio Taglioni ถ่ายคู่กับผลงานตัวเอง 125 Desmo และกลุ่มช่างเทคนิค และวิศวกรของดูคาติ
( The adoption of the system Desmodromic engine monocilidrici racing Ducati marked the turning point for the Borgo Panigale. In ‘image we see the 125 Desmo with Fabio Taglioni surrounded by mechanics Recchia, Mazza, Alberto Farnè and the chief engineer Loli.)
ในช่วงท้ายปี ค.ศ.1956 ได้พัฒนารถ Ducati 175 รุ่น 4 จังหวะ สำหรับท่องเที่ยว และกีฬาให้มีความพิเศษมากขึ้น สามารถเพิ่มความเร็วได้ 110-120-135 km/h และได้ทำการเปิดตัวพร้อมกันกับมอเตอร์ไซด์รุ่น “Ameirca” ที่มิลาน ในปี ค.ศ. 1957
ภาพถ่ายโรงงานผลิตของดูคาติในช่วงปี 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ในระหว่างปี 1958 ทางดูคาติได้พยายามผลิตมอเตอร์รุ่น Elite 200 cc ออกมา ซึ่งรุ่นนี้วิศวกร Fabio Taglioni ยังคงใช้ระบบ Desmodromic ที่ตัวเองพัฒนามาตั้งแต่ปี 1955 และพัฒนาจากรุ่น Marianna ที่ได้รับความนิยมมาก แต่โชคร้ายในช่วงน้้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอิตาลีพอดีทำให้ตลาดการขายมอเตอร์ไบด์ประสบปัญหาไปด้วย ทำให้ในปี 1965 ถึงจะได้ออกขายมอเตอร์รุ่นนี้เป็นครั้งแรก จากโครงการนึ้เองทำให้ ในช่วงปี 60 บริษัท Ducati กลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างรถจักรยานยนต์รุ่น 250 cc ซึ่งนับว่าเร็วที่สุดในยุคนั้น และในปี 1960 นักแข่งรถผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ Mike HailwoodTM ได้ขึ้นชื่อว่า “superior” ชนะการแข่งเสมอ ได้สั่งทำรถกับดูคาติที่มีชื่อว่า 250 Twin-Cylinder Desmo
โฉมหน้าของนักแข่งรถหนุ่มชาวอังกฤษ Mike Hailwood™ ที่ชนะการแข่งในปี 1960
รถ 250 Twin-Cylinder Desmo ที่บริษัทดูคาติ ทำขึ้นเพื่อ Mike Hailwood™
ตั้งแต่ปี 1960 ที่ประเทศอิตาลีประสบปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลทำให้ยอดขายมอเตอร์ไบด์ลดลงอย่างแต่เนื่อง ประกอบกับในขณะนั้นเริ่มมีการผลิตรถยนต์ออกขายเป็นครั้งแรกของ Fiat 500 ทำให้ตลาดมอเตอร์ไบด์ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม ทำให้บริษัทที่ผลิตมอเตอร์ไบด์สำหรับแข่งปิดกิจการลงหลายบริษัทรวมทั้ง Gilera, Moto Guzzi และ Mondial ดังนั้นบริษัทดูคาติ จึงหันไปจับตลาดต่างประเทศแทน ต่อมาในปี 1963 ก็พัฒนา Ducati Apollo 1260 ซึ่งเน้นตลาดผู้ใช้ชาวอเมริกันเป็นหลัก
Ducati Apollo กับผู้นำเข้าชาวอเมริกัน Joe Berliner ในปี 1963
ในปี 1962 ผลิต Ducati Scrambler 250 เพื่อขายให้กับชาวอเมริกันเท่านั้น
ในปี 1968 ผลิต Ducati Scrambler แต่ขายในเฉพาะอิตาลีเท่านั้น
ภาพจากโฆษณาที่มีชื่อว่า “Ducati Power” ที่เห็น Ducati Scrambler
ในสมัยนั้นฮิตในหมู่วัยรุ่นเป็นอย่างมาก ในบ้านเราคงเรียกว่า “พวกฮิปปี้”
และในปี 1965 ได้ผลิตรุ่น Ducati 250 MACH 1 ออกสู่ตลาด
ที่มีความแตกต่างกัน 3 แบบตรงแฮนด์บังคับรถ
ในปี 1967 บริษัทดูคาติ ตัดสินใจที่จะปฏิวัติเครื่องยนต์แนะนำระบบ Desmodromic ซึ่งก่อนหน้านั้นได้รับการใช้เฉพาะในรถที่ใช้แข่ง มีสองขนาดเครื่องยนต์ใหม่, displacements 350 และ 450cc ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในช่วงครึ่งแรกของยุค 70 ถึงแม้ว่าจะไม่พิชิตการแข่งขันใดๆ แต่รถของดูคาติที่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด 250 cc ให้วิ่งเกินกว่าความสามารถในการเกณฑ์ 150 กิโลเมตร / ชั่วโมง ก็สามารถครองหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบความเร็วได้อย่างมาก ในช่วงปีนี้ดูคาติได้นำรถตระกูล Mark 3D ออกจำหน่าย ซึ่งได้แก่ 250 Mark 3D, 350 Mark 3D และ 450 Mark 3D
ในช่วงท้ายของปี 1969 ยังมีการแข่งขันของตลาดรถมอเตอร์ไบด์กันมากขึ้นและยังมีการนำเข้ารถญี่ปุ่นมาขายในยุโรปมากขึ้น รวมทั้งในอิตาลีด้วย ถือเป็นอีกคู่แข่งที่สำคัญของดูคาติก็ว่าได้
ภาพถ่ายโรงงานของดูคาติที่เมืองโบโลญญ่าในช่วงปี 60
นอกจากนี้ในช่วง ปี 1967-1978 บริษัทดูคาติได้ เปลี่ยนผู้บริหารเป็นกลุ่ม EFIM (Ente Partecipazioni e Finanziamento Industrie Manifatturiere หรือ กลุ่มเงินทุนเพื่ออุตสาหกรรมการผลิต) ซึ่งควบคุมการดำเนินการผลิตวันต่อวัน โดยที่ในปี 1967 — 1973 จะทำการบริหารโดย Mr. Giuseppe Montano และ ในปี 1973-1978 บริหารโดย Mr. Cristiano de Eccher
ซึ่งในช่วงปี 70 บริษัทก็เริ่มสายการผลิตรถจักรยานยนต์ L-Twin เช่นรุ่น 90 L-twin
ส่่วนของตัวรถจะทำเป็นรูปตัว L ระบบ twin-cylinder engine (L-Twin) ออกแบบโดย Fabio Taglioni
Ducati 500 GP เครื่องยนต์ไม่ได้ใช้ระบบ Desmodromic system แล้ว และรุ่นนึ้ใช้ในการแข่งขัน
Ducati 500 GP ในการแข่งขันรุ่น 500cc World Championship ปี 1971
และในการแข่งขัน Mototemporada Romagnola ที่เมือง Rimini, Riccione, Cesenatico และ Modena
ฤดูในไม้ร่วงในปี 1970 ได้เปิดตัว Ducati 750 GT ซึ่งได้ทำการพัฒนามาจากระบบ L-twin
โดยพัฒนาเครื่องยนต์เป็นระบบ 90° L-twin เพื่อใช้สำหรับขับขี่บนท้องถนนได้
ในปี 1972 ดูคาติได้ผลิต รถแข่งรุ่น Ducati 750 Imola Desmo เป็นรถแข่งอีกรุ่นหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะนักแข่งรถที่รู้จักกันดีคือ Paul Smart และ Bruno Spaggiari ได้ใช้รถรุ่นนี้ชนะการแข่งขันใน “200 Mile race” ที่เมือง Imola ในปี 1972 นั่นเอง ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์
ในภาพจากด้านซ้ายคือ Bruno Spaggiari รองชนะเลิศ, Fabio Taglioni วิศวกรของดูคาติ
และ Paul Smart ที่ชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้
และในเดือนพฤศจิกายน ปี 1973 ก็ได้เปิดตัว L-twin ที่มาพร้อมวาล์ว Desmodromic เป็นรายแรก Ducati 750 SS Desmo ที่เมืองมิลาน ในงาน Milan Motorcycle Show เป็นรถแข่งรุ่นที่พัฒนามาจากรถแข่งที่ประสบความสำเร็จคือ Ducati 750 Imola Desmo แต่ไม่รู้ทำไมรถรุ่นนี้ถึงมียอดการผลิตแค่ 401 คันเท่านั้น
ภาพของนักแข่งชาวอังกฤษ Cook Neilson กับ Ducati 750 SS Desmo
ที่ชนะการแข่งขันในรายการ “Daytona 200-Miles”
ในช่วงปี 1979 บริษัทได้เปิดตัวเครื่องยนต์ Pantha 500 ออกสู่ตลาด ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ Fabio Taglioni ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อมาเป็น Ducati Super Sport (SS) Series ในช่วงปี 90 และเครื่องยนต์ Ducati รุ่นใหม่ๆ ก็ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องยนต์รุ่น Pantha นี้
ในปี 1983 สองพี่น้อง Claudio และ Gianfranco Castiglioni เจ้าของกลุ่มบริษัท CAGIVA ได้เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท Ducati และด้วยความสามารถของสองพี่นี้เองที่นำ Ducati เข้าสู่ตลาด Superbike ซึ่งก่อนหน้านี้ในปี 1950-1978 บริษัท CAGIVA ได้ทำธรุกิจเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนโลหะ แต่หลังจากพ่อของพวกเค้า Giovanni Castiglioni เสียชีวิตลง ในปี 1978 พวกเค้าซึ่งสนใจธรุกิจเครื่องยนต์อยู่แล้วก็เริ่มซื้อบริษัทเกี่ยวธุรกิจด้านนี้ โดยเริ่มจากซื้อบริษัท Ducati จากน้้นในปี 1987 ก็ซื้อ Moto Morini จาก Husqvarna และต่อมาในปี 1991 ก็ซื้อ MV Agusta
The first project of designer Massimo Tamburini
in Ducati 750 Paso was revolutionary in 1986
The mechanics of the “red on two wheels” was extremely simple and rational.
วิศวกรผู้ออกแบบ Ducati 750 Paso
“Massimo Tamburini”
ในปี 1986 บริษัท CAGIVA อยู่ในช่วงเริ่มต้นการบริหาร Ducati ต้องการให้มีอะไรใหม่ๆ ออกมาจึงมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ของ Borgo Panigale ต้องการให้รถแบบแรกที่ออกมา เป็นรถที่รวมเอารูปแบบของ Ducati และ CAGIVA เอาไว้ เป็นไอเดียของวิศวกรชื่อ Massimo Tamburini ซึ่งเป็นผู้ออกแบบรถรุ่น Bimota มาก่อน ตั้งชื่อรถรุ่นนี้ว่า Ducati 750 Paso ใช้คำว่า Paso ตั้งเพื่อให้เกียรติกับนักแข่งรถชาวอิตาเลียนชื่อ Renzo Pasolini ซึ่งเสียชีวิตในการแข่งขัน Gran Premio ที่ Monza ในปี 1973
By victories in the most prestigious circuits derived
the production of special versions of the 750 F1, such as Montjuic.
โดยเริ่มชื่อเสียงในตลาดแข่งรถจริงๆ จังๆ ในปี 1987 ซึ่งนักแข่งรถในตอนนั้นคือ Marco Lucchinelli โดยเริ่มจากขับรถรุ่น Ducati 750 F1 ซึ่งเป็นรถที่มีคนค้นหามากคันนึงในสมัยนั้น ต่อมาได้เปลี่ยนมาขับรถ Ducati 851 ซึ่งได้มีการออกแบบระบบเครื่องยนต์ 4 วาล์ว โดยวิศวกร Massimo Bordi
La storia della 851 inizia con la vittoria di Lucchinelli al “Battle of the Twins” del 1987.
โฉมหน้าของวิศวกร Massimo Bordi และ ผู้ช่วยคิดค้นระบบเครื่องยนต์ 4 วาล์วชื่อ Gianluigi Mengoli
การบริหารงานของบริษัท CAGIVA ทำให้ Ducati มีการขยายตลาดมาขึ้น มีการผลิตรถรุ่นใหม่ออกมา และมีเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น รองรับตลาดรถแข่งมากขึ้น และถือได้ว่า Ducati มีการเติบโตมากขึ้นด้วยในสมัยนั้น
เข้าสู่ยุคปี 90 Ducati ก็มีความมุ่งมั่นที่ทำให้ Superbike ของตนเป็นแชมป์ให้ได้ เพียงแค่ 2 ปี ความตั้งใจนั้นก็ประสบความสำเร็จด้วยรถรุ่น Ducati 851 ที่มีการพัฒนาใช้ระบบ Twin Cylinder Engine 4-valve Desmoquattroเป็นครั้งแรก นักแข่งรถที่นำชัยชนะมาสู่ Ducati ในยุคปี 90 คนแรก เป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อ Raymond Roche และหลังจากนั้นเค้าก็นำชัยชนะสู่ Ducati เรื่อยมาด้วยรถรุ่นใหม่ๆ ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น Ducati 851, 888, 916 และ 996 ไม่ได้มีเพียงนักแข่งเก่งๆ เพียงแค่คนเดียว Ducati ยังมีนักแข่งท่านอื่น เช่น Carl Fogarty, Doug Polen, Troy Corser และ Giancarlo Falappa เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของการแข่ง Superbike เลยก็ว่าได้
Ducati 888 พัฒนามาจากรุ่น 851
ถือว่าการเริ่มต้นในสาย Superbike ของ Ducati เป็นไปอย่างสวยงาม โดยได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ จากการชนะการแข่งด้วยรถ Superbike รุ่น 851 และ 888 จะเรียกว่าเป็นการประกาศศักดาของ Ducati ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นก็ว่าได้
Ducati 916 ถือเป็นรถรุ่นที่สวยที่สุดในรอบ 30 ปีของบริษัทเลยก็ว่าได้
ในปี 1993 ได้กำเนิด Ducati Monster ซึ่งทำยอดขายถล่มทลายให้กับ Ducati ยังไม่พอในปี 1994 ได้ผลิตรุ่นDucati 916 เรียกได้ว่าเป็นจักรยานยนต์ที่ถูกบันทึกในยุค 90 ว่าเป็นรุ่นที่สวยที่สุดก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมี Ducati Supermono ซึ่งเป็นผลงานชิ้นแรกของ Claudio Domenicali นักออกแบบรุ่นใหม่ไดัออกรถให้ฉีกแนวออกไปจากรถที่เคยผลิตมา
Cr by http://www.italysmile.com/ducati/